ดูดไขมันทั้งตัว เหมาะกับคนที่มี BMI เท่าไหร่? เช็กเกณฑ์เบื้องต้นก่อนปรึกษาแพทย์

หลายคนที่สนใจดูดไขมันทั้งตัว มักจะสงสัยว่าต้องมี BMI เท่าไหร่ถึงจะทำได้? บางคนคิดว่าต้องอ้วนมาก บางคนก็กลัวว่าผอมเกินไปจะทำไม่ได้ ความจริงคือ BMI เป็นเพียงหนึ่งในเกณฑ์เบื้องต้นเท่านั้น บทความนี้จะพาคุณเช็กอย่างเข้าใจง่าย ว่า BMI แบบไหนเหมาะกับการดูดไขมันทั้งตัว และควรรู้อะไรก่อนเข้าปรึกษาแพทย์ค่ะ

BMI คืออะไร และสำคัญกับการดูดไขมันแค่ไหน
BMI (Body Mass Index) คือ ดัชนีมวลกายที่ใช้ประเมินสัดส่วนระหว่างน้ำหนักและส่วนสูง เพื่อคัดกรองภาวะผอมหรืออ้วน โดยทั่วไปแบ่งคร่าว ๆ ได้ดังนี้

  • ต่ำกว่า 18.5 = ผอม
  • 18.5–22.9 = ปกติ
  • 23–24.9 = น้ำหนักเกิน
  • 25 ขึ้นไป = อ้วน

สำหรับการดูดไขมันทั้งตัว BMI ช่วยให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงและความเหมาะสมเบื้องต้น แต่ไม่ใช่ตัวตัดสินเพียงอย่างเดียวค่ะ

ดูดไขมันทั้งตัวเหมาะกับ BMI ช่วงไหน

BMI 18.5–24.9 (ปกติ–น้ำหนักเกิน)
เป็นกลุ่มที่เหมาะมาก เพราะน้ำหนักคงที่ แต่มีไขมันสะสมเฉพาะจุดหลายบริเวณ เช่น หน้าท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา การดูดไขมันทั้งตัวช่วย “ปั้นสัดส่วน” ให้สมดุลและชัดขึ้นได้ดี

BMI 25–30 (อ้วนระดับต้น)
ยังสามารถดูดไขมันทั้งตัวได้ในหลายกรณี แต่ต้องประเมินสุขภาพอย่างละเอียด แพทย์อาจแนะนำให้ลดน้ำหนักบางส่วนก่อน เพื่อให้ผลลัพธ์สวยและปลอดภัยยิ่งขึ้น

BMI ต่ำกว่า 18.5 (ผอม)
ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้ แต่การดูดไขมันทั้งตัวอาจไม่จำเป็น แพทย์จะพิจารณาเป็นจุด ๆ มากกว่า เพื่อปรับทรง ไม่เน้นลดปริมาณไขมัน

BMI มากกว่า 30
มักไม่แนะนำให้ดูดไขมันทั้งตัวทันที เพราะความเสี่ยงสูง แพทย์จะเน้นให้ปรับน้ำหนักและสุขภาพก่อน แล้วค่อยประเมินใหม่ค่ะ

สิ่งที่สำคัญกว่า BMI
แม้ BMI จะเป็นตัวช่วยคัดกรอง แต่สิ่งที่แพทย์ให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ
1. การกระจายตัวของไขมัน (เฉพาะจุดหรือทั่วตัว)
2. ความยืดหยุ่นของผิว
3. สุขภาพโดยรวมและโรคประจำตัว
4. เป้าหมายของผู้เข้ารับบริการ (ลดขนาด vs ปั้นรูปร่าง)

การดูดไขมันทั้งตัวเหมาะที่สุดกับผู้ที่มี BMI อยู่ในช่วงปกติถึงอ้วนระดับต้น และมีไขมันสะสมหลายจุด แต่สุดท้ายแล้ว การประเมินโดยแพทย์เฉพาะทางคือสิ่งที่แม่นยำที่สุด เพราะแต่ละคนมีสรีระและเป้าหมายแตกต่างกันค่ะ